เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ มี.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราตั้งใจฟังธรรมเพราะเราแสวงหาสิ่งสัจธรรมในชีวิตของเรา เราแสวงหาสัจธรรม สัจธรรมในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

เราเป็นชาวพุทธ เราใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนา บ้านเราอยู่ใกล้วัด ดูสิ วัดโดยทั่วๆ ไปเราเห็นแล้วมันชินชา มันชินชา มันไม่ดูดดื่มไง

พระพุทธศาสนามีคุณค่ามากๆ พระพุทธศาสนาพูดถึงไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

เวลาคนเกิดมา คนที่มีอำนาจวาสนาอยากมีชีวิตยั่งยืน อยากจะเป็นนิรันดร์ แต่สุดท้ายแล้วสัจจะความจริงขึ้นมาๆ มันต้องเปลี่ยนแปลงทั้งนั้นน่ะ ไม่มีสิ่งใดคงที่ ไม่มีสิ่งใดคงที่

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันลึกซึ้งกว่านั้น มันลึกซึ้งกว่านั้น

เรื่องที่เราเห็นกันอยู่นี่เป็นเรื่องโลกๆ คำว่า เรื่องโลกๆ” คือเรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องโลกๆ คือเรื่องสามัญสำนึกของเรา เรื่องสิ่งที่เราจับต้องดูแลได้นี่เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์กับธรรมะขัดแย้งกัน ขัดแย้งกันเรื่องธรรมะ

“อดีตชาติก็ไม่มี ชาติหน้าชาติต่อไปก็ไม่มี คนเกิดมาแค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น”

ถ้าเกิดมาชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระลึกอดีตชาติตั้งแต่พระเวสสันดรไป เวลาจุตูปปาตญาณ ถ้าคนยังไม่สิ้นกิเลสมันต้องเกิดต่อไปๆ เวลาต้องเกิดต่อไป

อาสวักขยญาณ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลพอดี

นี่เป็นกลางๆ เราก็เป็นวิทยาศาสตร์ไง เป็นกลางเราก็แบ่งใช่ไหม เอาตรงกลางนั่นน่ะ ถ้าเมตรหนึ่งก็เอาห้าสิบเซ็น ตรงนั้นเป็นตรงกลาง ทำสิ่งใดก็ให้เป็นตรงกลาง เราพยายามจะหาความตรงกลางของเราด้วยความคิดความเห็นของเราไง เราไม่เห็นหาความตรงกลางโดยสัจธรรมๆ ไง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งใหญ่นักๆ ความยิ่งใหญ่นัก ยิ่งใหญ่นักที่เราแสวงหา เราพยายามทำบุญกุศลของเรา เพราะเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดเป็นชาวพุทธนะ

ถ้าเป็นหลวงตา เป็นหลวงปู่มั่น เป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ นะ ท่านบอกว่า การที่ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนามันมีคุณค่า

คนในโลกนี้เกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา ดูสิ ชาวตะวันตกที่เขาพยายามขวนขวายแสวงหากันเพราะอะไร เพราะเขาเป็นคนที่มีสติปัญญา เขาศึกษาธรรมะแล้ว เขาศึกษาแล้วเขาเห็นสัจจะเห็นความจริง เห็นมันเป็นความถูกต้องดีงาม ลัทธิศาสนาของเขามันเป็นศรัทธา เป็นความเชื่อ เป็นความงมงาย พูดอย่างนี้เลยว่าเป็นความงมงาย มันไม่มีเหตุไม่มีผล มันไม่มีต้นไม่มีปลาย

แต่ของเรามันมีเหตุมีผล มีการกระทำ มีความจริง แต่กว่าที่จะเป็นผลขึ้นมาได้มันต้องมีประเพณีวัฒนธรรม มีประเพณีวัฒนธรรม

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีคุณค่า มีความยิ่งใหญ่ มีความอลังการ มันมีคุณค่า มีความยิ่งใหญ่ในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มันมีคุณค่า มีความยิ่งใหญ่ในใจของครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านทำความจริงของท่าน ท่านเห็นความยิ่งใหญ่ของท่าน เห็นความยิ่งใหญ่เพราะอะไร เพราะท่านสละ สละความเป็นโลกๆ เห็นไหม

ทุเรียน ไม่มีเปลือกทุเรียน เป็นทุเรียนไม่ได้ ทุเรียนมันจะเป็นทุเรียนได้มันต้องมีผลของมัน มันต้องมีเปลือกของมัน แต่เวลาคนกินทุเรียนเขาปอกเปลือกทิ้งหมดเลย เขาไม่เอาเปลือกมาเลย แต่พวกเราไปติดกันที่รูปสวย ผลไม้ถ้าไม่มีตำหนิเลย ราคาดี ผลไม้ที่มีตำหนิ ราคาใช้ไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน เรื่องโลกๆ เราก็ไปห่วงกันที่เปลือกไง ห่วงความเป็นอยู่ของเรา ห่วงความเป็นอยู่ของเรา เรื่องโลกๆ เป็นวิทยาศาสตร์ แล้วเราศึกษาแล้วเรากลัวผิดกลัวพลาด เรากลัวทำสิ่งใดไม่ได้

คนที่ไม่มีอำนาจวาสนา ทางวิชาการถูกต้องดีงามทั้งหมด ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เราก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เรารู้ เราทะลุปรุโปร่งไปหมดเลย รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่รู้เรื่องใจของตน รู้ทุกเรื่อง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนหมดเลย รู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องใจของตนไม่รู้จักไง แล้วเห็นไม่ได้ นี่เรื่องโลกๆ

โลกคือโลกียปัญญา โลกคือโลกทัศน์ โลกเกิดมาจากสติปัญญาของเรานี่แหละเรื่องโลกๆ มันไม่มีความจำเป็นหรือ

มันมีความจำเป็นมากนะ โลกเราเจริญ เจริญด้วยปัญญาๆ แต่ปัญญานี้เป็นปัญญาวิทยาศาสตร์ เป็นปัญญาวิชาชีพ เป็นสิ่งที่เราแสวงหาเพื่อทดสอบความจริง คนมีสติปัญญาขึ้นมาแก้ไขวิกฤติต่างๆ อะไรก็ได้ คนไม่มีสติไม่มีปัญญา เกิดวิกฤติต่างๆ นั่งงอมืองอเท้าอ้อนวอนขอเลยนะ ขอให้เทพเจ้าช่วยๆ

แต่คนมีสติปัญญาเขาใช้สมองของเขา เขาใช้ประสบการณ์ของเขา เขาแก้ไขของเขา นี่เรื่องโลกๆ เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ เวลาทุกข์เวลายากไปหาพระ

เวลาหาพระๆ ที่เราศึกษาเราค้นคว้าหาสัจจะหาความจริง เราไปวัดไปวากันนี่เรามาศึกษา เวลาศึกษาขึ้นมาแล้ว เรื่องโลกๆ เขาก็ต้องศึกษา ศึกษานี้เป็นแนวทาง แต่ศึกษาเป็นแนวทางระหว่างโลกกับธรรม เวลาจะยกจากโลกกับธรรมมันเรื่องแสนยาก

มันเรื่องแสนยากเพราะเราไปติดไง เราไปติดของเรา ทิฏฐิมานะ มานะ ๙ สูงกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา เสมอเขาสำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา ต่ำกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา

จะต่ำกว่าเขา จะเสมอเขา จะสูงกว่าเขา นั่นเป็นเรื่องข้อเท็จจริง แต่เราไม่สำคัญตน เราไม่สำคัญตน เราไม่สำคัญตนว่าฉลาด เราไม่สำคัญตนว่าเรามีปัญญา

คำว่า ฉลาด คำว่า มีปัญญา” มันปิดกั้นให้เราศึกษาค้นคว้าไปหมดเลย แล้วสิ่งที่จะเป็นจริงๆ เป็นไปไม่ได้เลย นี่มันติดเรื่องโลกไง มันไม่ทิ้งเปลือกไง ทุเรียนมันกินเปลือก

โยมกินเปลือกนะ เราเอาเนื้อทุเรียนไว้ในบาตรแล้ว เรากินเนื้อ โยมกินเปลือก

นี่เก่ง เก่งมึงเอาเปลือกไป มึงอย่าเอาเนื้อนะ แต่ถ้าเอาเนื้อ ถ้าไม่มีลูกทุเรียน มันเป็นทุเรียนมาไม่ได้ ไม่มีเวรมีกรรม เราเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ การที่เกิดเป็นมนุษย์มันเป็นข้อเท็จจริงทางโลก มันเป็นข้อเท็จจริง เราต้องเกิดอยู่แล้ว เราต้องเกิดอยู่แล้วเพราะเรามีความรู้สึก ความรู้สึกอันนี้มันมีเวรมีกรรมของมันน่ะ

ถ้ากรรมมันดีมันไปเกิดบาลานซ์กับพ่อแม่ที่ดี พ่อแม่ที่เป็นเศรษฐีเขาอยากมีลูกมีเต้า เขาหาลูกหาเต้าได้แสนยาก ไอ้เราคนทุกข์คนจน โอ้โฮ! เดินเป็นแม่เป็ดเลย แม่เป็ดเดิน ลูกเป็ดเดินเป็นแถวเลย เพราะอะไร เพราะอำนาจวาสนาเราแค่นี้ ถ้าอำนาจวาสนาเราแค่นี้ นี่มันต้องเกิด

พอมันต้องเกิดขึ้นมา สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเพราะเหตุใด เพราะมันมีเวรมีกรรมมีการกระทำของมันใช่ไหม มันต้องเกิด มันเกิดมันต้องมีของมัน ถ้ามีของมันแล้ว เราได้ทุเรียนมามันก็เป็นเรื่องดีงาม

สวนทุเรียน เมืองจีนมันประมูลหมดนะ ตอนนี้สวนทุเรียน สวนทุเรียนมันดีงามนะ แต่อย่าไปติด อย่าไปติดยึดมั่น สวนทุเรียนมันเป็นเศรษฐกิจนะ มันเป็นที่มีคุณค่า มันมีคุณค่าจริงๆ มันมีคุณค่าจริงๆ

ชีวิตนี้ก็มีคุณค่า ชีวิตนี้มันมีคุณค่ามาก เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้วท่านเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ไง มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์ต่างจากสัตว์ๆ

เวลาสัตว์ สัตว์ที่มันมีอิสรภาพของมัน สัตว์ไม่มีขอบเขต สัตว์ไม่มีเขตแดน สัตว์มันมีของมันไปตลอด สัตว์มันมีอิสระของมัน แต่อิสระในนามของสัตว์

เราเป็นมนุษย์ เราเป็นมนุษย์เรามีสติปัญญาขึ้นมา เราเขียนกฎหมายขึ้นมา กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายของประเทศ กฎหมายเทศกิจ เขียนมา เขียนขีดวงตัวเองไว้ นี่ไง มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ว่ามันก็มีกฎมีกติกาของมัน รอนสิทธิ์ รอนสิทธิ์ของตน รอนสิทธิ์ของตนเพื่อความเสมอภาค เพื่อความอยู่ในสังคม เพื่อความดีงามของเรา นี่เวลามนุษย์ต่างจากสัตว์

แต่สัตว์มีอิสรภาพของมันนะ มีอิสรภาพเสรีภาพของมัน แต่ธรรมชาติของมันไง สัตว์แม้แต่ดำรงชีวิตของมันนะ พวกเก้งกวางเวลามันจะหากินในป่านะ มันต้องแลกอิ่มหนึ่งด้วยชีวิตของมัน เผลอเป็นโดนนักล่า เผลอเสือตะปบเอาไปกิน เผลอไม่ได้เลย

เวลามันพลั้งเผลอขึ้นมา ชีวิตมันแสนเข็ญขนาดไหน เวลามันจะดำรงชีพมันเอาชีวิตมันแลกทั้งนั้นน่ะ เพราะทุกคนต้องการเนื้อมัน ทุกคนต้องการชีวิตของมัน ทุกคนต้องการเอามันไปเป็นอาหาร

แต่เวลาของเรานะ เวลาเรื่องสิทธิเสรีภาพมันไม่มีเขตแดน มันไปตามอิสระของมัน มนุษย์ต่างจากสัตว์ แล้วมนุษย์ต่างจากสัตว์ มนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์รู้หน้าไม่รู้ใจ มนุษย์รู้หน้าไม่รู้ใจ ความรู้สึกนึกคิดของมัน ถ้าเป็นมนุษย์ มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต มนุษย์เดรัจฉาน มนุษย์เปรต มนุษย์เทวดา มนุษย์ต่างๆ มันเกิดมาจากตรงนี้ เกิดมาจากเราเริ่มมีศีลมีธรรม

ถ้าเราเริ่มมีศีลมีธรรมขึ้นมา นี่เรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ เรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ เรื่องโลกเรื่องสามัญสำนึก เรื่องความเป็นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ อนุปุพพิกถา เวลามาทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณ รู้เลยนะว่าอดีตชาติเราทำอะไรมา เราทำสิ่งใดมารู้หมดเห็นหมด แต่ท่านไม่ค่อยพูดหรอก ท่านจะพูดต่อเมื่อเป็นประโยชน์ไง

พระนันทะ พระนันทะเป็นญาติผู้น้องของท่าน เวลาจะแต่งงาน ก็เป็นญาติกัน เป็นญาติกันทางสายเลือดแล้วเคารพกัน นิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปในงานแต่ง เวลาไปงานแต่ง แต่งเสร็จแล้วเป็นญาติกันโดยสายเลือด ก็อุ้มบาตรมาส่งที่วัดไง

“นันทะ เธอจะบวชหรือ”

บวชอะไร เพิ่งแต่งงาน แต่งงานเมื่อกี้นี้เอง มาบวช บวชเลย ด้วยน้ำท่วมปาก อ้าว! บวชก็บวช พอบวชแล้วก็คิดถึงตลอด คิดถึงแต่อดีตภรรยาของตนๆ เพราะเพิ่งแต่งงาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรมาน ทรมานให้มันจมปลักอยู่ในความทุกข์อันนั้น พอจมปลัก สุดท้ายแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก้ไขไง

เธอคิดถึงใคร

คิดถึงนางชนบทกัลยาณี คิดถึงอดีตภรรยาของตน

เธอมองไว้เลยนะ สวยงามขนาดไหนจำให้แม่นๆ นะ จับมือเหาะเลย ขึ้นไปเห็นนางฟ้า โอ้โฮ! สวยงามกว่าภรรยาตนเยอะเลย

อยากได้ไหมล่ะ

อยากได้

อยากได้ พุทโธสิ พุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์

นี่อนาคตังสญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำอย่างนั้นเพราะเหตุใด ทำอย่างนั้นเพราะพระนันทะต้องมีอำนาจวาสนา พระนันทะต้องมีหัวใจที่จะเข้าสู่ธรรมได้

อย่างถ้ามาจับมือเรา จับมือเรา เราไปแล้วเรากระโดดจะเอานางฟ้าเลย มันเป็นไปไม่ได้ การจะทำอย่างนั้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านต้องดูอำนาจวาสนาบารมีของจิตนี้ก่อนว่าจิตนี้มันมีความรู้สึกนึกคิดหรือไม่ จิตนี้มันเปลี่ยนแปลงความเห็นของมันหรือไม่ มันมีพัฒนาการของมันขึ้นไม่ ถ้ามันมีพัฒนาการของมัน ถ้ามันเห็นสิ่งนั้นแล้วมันจะมีสติมีปัญญา มันจะเกิดปัญญา เกิดการใคร่ครวญขึ้นมา

แบบพระองคุลิมาล เวลาท่านแสดงธรรม “เราหยุดแล้ว เธอไม่หยุด เราหยุดแล้ว เธอไม่หยุด” นั่นน่ะ หยุดอะไร หยุดอะไร นี่ไง เวลาถ้าอนาคตังสญาณเขาจะมองแต่คนที่มีอำนาจวาสนา มองแต่คนที่คุยกันรู้เรื่อง มองแต่คนที่พัฒนาได้ มองแต่คนที่มันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดได้

ไม่ใช่อย่างเรา เรามันใจด้าน ทิฏฐิมานะมันล้นฟ้า “ต้องพิสูจน์ให้เห็นสิ ต้องทำให้ดูสิ ต้องให้เห็นต่อหน้าเลย”

แล้วแสดงทำไมล่ะ แสดงก็ไปดูคอนเสิร์ตสิ คอนเสิร์ตบัตรใบหนึ่งสองสามพัน เอ็งไปดูนั่น นั่นเพราะจิตเอ็งด้าน จิตคนที่ด้านคนที่หนามันคิดไปอย่างหนึ่ง จิตของคนที่นิ่มนวล จิตของคนที่มีอำนาจวาสนา จิตของคนที่พัฒนาแล้วมันขวนขวายนะ

ดูประวัติครูบาอาจารย์ของเราแต่ละองค์สิ เวลาท่านเกิดในชนบท พ่อแม่เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้ลูกได้บวชได้เรียนใช่ไหม ครูบาอาจารย์เราบวชนั่นก็เป็นเณร

เวลาเราจะไปบวช คนอยากบวชทั้งนั้นน่ะ แต่อยากบวชวัดบ้าน อยากบวชที่สุขสบาย อยากบวชที่มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ไอ้บวชแล้วถือบาตรใบหนึ่งแล้วธุดงค์ไป ทุกคนไม่อยากจะทำ ไม่อยากจะทำ

แต่คนที่จิตใจเขาเป็นธรรมเขาแสวงหาสิ่งนี้ แสวงหาสิ่งนี้ บวชแล้วอยากจะฝึกหัด บวชแล้วจะค้นคว้าหาใจของตน บวชแล้วจะพิจารณาใจของตน นี่หาครูบาอาจารย์ที่ดี ครูบาอาจารย์ที่คอยชี้นำคอยบอกเรา

แล้วบวชแล้วไม่มีวันอดตาย ไม่อดตายเพราะเราเป็นพระ เราเป็นผู้ที่ปฏิบัติ ความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำคุณงามความดีแล้วมันจะอดมันจะอยาก คนจะไม่ค้ำจุนดูแล มันเป็นไปไม่ได้

เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ประชาชนชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนา แล้วมีพระมาบิณฑบาต พระมาขวนขวายหาสัจจะความจริง มันจะไม่มีความยิ้มแย้มแจ่มใส มันไม่มีความอบอุ่นหัวใจ มันไม่มีความรื่นเริง รื่นเริงว่าศาสนาของเราจะไม่เรียวแหลม ศาสนาของเราจะมั่นคงขึ้นไป เพราะอะไร เพราะมีศากยบุตรพุทธชิโนรส ศากยบุตรจะเป็นหลักในพระพุทธศาสนา

เวลาพระพุทธศาสนาเขาจะหาสัจจะหาความจริง เขาต้องหาในใจของเขา เขาธุดงควัตรเข้าไป เขาธุดงค์ไปเพื่อหาใจของตน ถ้าหาใจของตน มีใจของตนแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นไหม

เหมือนวิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ มันเกิดที่ไหน มันเกิดที่ในหัวใจไง

เราหาหัวใจของเราไม่เจอ เราไม่รู้จักใจของเรา เราไม่รู้จักวิธีการแก้ไขของเรา เวลาเกิดก็เกิดจากพ่อจากแม่ ไม่รู้จักเกิดจากเวรจากกรรม ไม่รู้จักมีการกระทำ ไม่มีความรู้ความเห็นในสัจธรรม

นี่จะเข้าสู่ธรรมแล้ว ที่ว่าเรื่องโลก เวลาโยมเอาเปลือกทุเรียนไป เวลาพระออกประพฤติปฏิบัติเขาจะเอาเนื้อ เอาเนื้อทุเรียนที่หอมหวาน เอาหัวใจที่ดีงาม ถ้าเขาเอาหัวใจที่ดีงามของเขา เขาประพฤติปฏิบัติของเขา เขาดูแลของเขา เขาไปทำของเขา

นี่โลกกับธรรม โลกกับธรรมไม่ใช่อันเดียวกัน

ทีนี้เวลาทางโลกที่ทำกันอยู่นี่ เวลาครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านรู้เรื่องอย่างนี้ ท่านถึงมาทำให้มีข้อวัตรปฏิบัติ เครื่องอยู่ของใจ เวลาใจมันพิจารณาขึ้นมามันทวนกระแสกลับเข้ามา เวลาทวนกระแสกลับเข้ามามันเข้าไปสู่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง บุคคล ๔ คู่

บุคคล ๔ คู่ คนคนเดียวเป็นได้ถึง ๘ คน ใจดวงเดียวเป็นได้ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่ ใจดวงเดียวเป็นได้ถึงบุคคล ๔ คน มันพัฒนาขึ้นไปเป็นชั้นๆ ขึ้นไป

แล้วถ้ามันไม่เห็นใจของมัน เอาอะไรไปพัฒนา ถ้าไม่เห็นใจของมัน มันเปลี่ยนแปลงของมันได้อย่างไร เวลาพูดกันก็พูดแบบนักวิทยาศาสตร์ พูดแบบโลก โลกียปัญญา “แหม! นิพพานเป็นความว่าง นิพพานเป็นความสุข มีความสงบเย็น”

เราก็ไปขังตัวกันอยู่ในห้องแอร์มันก็เย็น เราก็ไปขังกันอยู่ในตู้เย็นมันก็เย็น แล้วมันมีความสุขไหม

เวลามันพูด มันพูดกันปากเปียกปากแฉะ นี้คือปัญญาโลกๆ โลกียปัญญา ปัญญาแบบโลก เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตรรกะ แล้ววิพากษ์วิจารณ์ วิเคราะห์วิจารณ์ ถ้ามีสติปัญญาเท่าทันมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ เพราะมันเห็นโทษเห็นภัยของมันไง แต่ถ้าคนไม่มีสติปัญญามันก็ไม่เป็นสัจจะไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น

นี่พูดถึงว่าโลกกับธรรมๆ แล้วไม่มีใครรู้นะ เพราะทุกคนเวลามันมีปัญญาขึ้นมามันก็ว่าเป็นปัญญาธรรมะทั้งนั้นน่ะ แต่มันไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นโลกหรือเป็นธรรม แต่ถ้าเป็นธรรมจริง เป็นธรรมจริง เป็นสัจธรรมความจริงขึ้นมา มันเกิดขึ้นมา

นี่ไง ดวงใจดวงใดมีมรรค ดวงใจดวงใดมีมรรค มรรคคือศีล สมาธิ ปัญญา แล้วมันพิจารณาของมัน มันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปๆ มันจะละมันจะถอดมันจะถอนขึ้นมา ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงนะ

ใจดวงใดไม่มีมรรค ใจดวงนั้นไม่มีผล การประพฤติปฏิบัติใด ถ้าไม่มีสัจจะความจริงขึ้นมา ไม่มีความจริง

เราถึงแสวงหาเราถึงขวนขวายไง ขวนขวายเพื่อความจริงของเราอันนี้ ขวนขวายเพื่อสัจจะเพื่อความจริง

นี่ฟังธรรมๆ ถ้าฟังธรรมขึ้นมามันเป็นสัจธรรมนะ ถ้าเป็นสัจธรรมเป็นความจริงอันนี้ เราขวนขวายอันนี้ เราไปวัดไปวาขึ้นมาเพื่อเหตุนี้ ทำบุญกุศลเพื่อหัวใจของเรา

ถ้าใจของเรามันทำแล้ว

เพราะเวลากาลามสูตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแสดงธรรมๆ ต้องการศรัทธา ต้องการความเชื่อ ต้องการความมั่นคงในหัวใจของชาวพุทธ

แต่เวลามีศรัทธามีความเชื่อ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วท่านจะบอกเลย กาลามสูตร ห้ามเชื่อ ห้ามเชื่อแม้แต่อาจารย์ของตนบอก

มันจะเป็นอย่างนั้นๆ อย่าเชื่อ ไม่จริงหรอก เราทำของเราให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา ห้ามเชื่อ ให้ค้นคว้า ให้หาสัจจะความจริง

แล้วเวลาเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว เวลาปริยัติ ปฏิบัติเป็นความจริงแล้วมันจะเป็นอันเดียวกันๆ มันเข้าใจหมดน่ะ อ๋อ! พระพุทธเจ้าหมายความว่าอย่างนี้ พระพุทธเจ้าต้องการอย่างนี้

พระพุทธเจ้าหมายความว่าอย่างนี้ แต่เราหมายความอีกอย่าง “โอ๋ย! มัน ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว พระพุทธเจ้าล้าหลัง ไอ้พวกเราปัจจุบัน ไอ้พวกเรายอดเยี่ยม” นี่เวลามันดัดจริต เวลากิเลสมันดัดจริตนะ มันทำลายแม้แต่ต้นขั้ว ทำลายแม้แต่สัจจะความจริง แล้วก็มีแต่ความจอมปลอมในใจของตน แล้วก็บอกว่าความจอมปลอมในใจของตนนี้เป็นปัจจุบัน

ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์เจริญ เทคโนโลยีเจริญ การปฏิบัติต้องเจริญ ไม่ต้องทำอะไรเลย “นิพพานเป็นความว่าง นิพพานเป็นความสงบเย็น” มันก็เลยเป็นควายเคี้ยวเอื้องไปแช่ปลักสงบเย็นอยู่นั่น เอวัง